รู้ทันโรคโลหิตจางในเด็ก

โลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กเป็นปัญหาสาธารณสุขไทยมาตลอด
จากงานวิจัย
ของกรมอนามัยปี 58 ได้สุ่มตรวจเลือดนักเรียนชั้น ป.1 ทั่วประเทศกว่า 5,000
คน พบเด็กไทยทุก 100 คน จะมีผู้ที่โลหิตจางสูงถึง 30 คน
ที่สำคัญคือ
เด็กที่ขาดธาตุเหล็กและโลหิตจาง
เมื่อทดสอบศักยภาพความฉลาดทางสติปัญญาหรือไอคิว
พบมีไอคิวที่ต่ำกว่าเด็กที่ไม่มีภาวะโลหิตจาง ยิ่งขาดธาตุเหล็กนาน ๆ
โดยไม่รู้ตัวยิ่งมีผลเสียต่อสติปัญญา
ศ.นพ.ดร.อิศรางค์ นุชประยูร วิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ผู้เชี่ยวชาญโรคเลือดในเด็ก กล่าวว่า ร่างกายเรามีธาตุเหล็กอยู่ในเม็ดเลือดแดงในรูปฮีโมโกลบิน
และเก็บสะสมที่ตับ-ม้ามตั้งแต่อยู่ในครรภ์แม่ ทารกแรกเกิดมีปริมาณ
ฮีโมโกลบินสูง เมื่อคลอดแล้วทารกจะหยุดสร้างเลือด 6-8 สัปดาห์
แล้วจึงเริ่มสร้างเลือดโดยใช้ธาตุเหล็กที่สะสมไว้ตั้งแต่ขณะที่อยู่ในครรภ์
ธาตุเหล็กจะถูกใช้หมดเมื่ออายุประมาณ 6 เดือน หลังจากนั้น
ธาตุเหล็กจากน้ำนมแม่จะไม่เพียงพอ
ควรให้ยาเสริมธาตุเหล็กแก่ทารกและให้อาหารเสริมที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น
ตับและเลือด ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป
เนื่องจากธาตุเหล็กจำเป็นต่อพัฒนาการเรียนรู้ของเด็ก ส่วนวิธีป้องกันโลหิต
จางในเด็ก แนะนำคุณพ่อคุณแม่ให้พาลูกไปตรวจเลือดเฉพาะค่า "ฮีโมโกลบิน"
เมื่ออายุ 6-12 เดือน หากพบว่าโลหิตจางแล้วเริ่มรักษาด้วยธาตุเหล็กเลย
โลหิตจางจากการ
ขาดธาตุเหล็กนั้น หากพบช้าก็จะเสียโอกาสพัฒนาศักยภาพของสมอง
หากตรวจแล้วเลือดยังดีก็ควรเสริมธาตุเหล็กไว้ ด้วยยาหรืออาหาร
ที่มา:www.thaihealth.or.th/สสส
|